เกี่ยวกับเรา

เรื่องที่คุณยังไม่รู้

 

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเรียนในสายอาชีพนี้

 

1. อาชีพนี้ก็เหมือนหมอหรือทนายความ ปริญญาโทไม่มีความสำคัญเท่ากับการที่สอบคุณวุฒิวิชาชีพ (เพราะเราไม่เคยถามหมอว่าจบโทจากที่ไหน มีแต่ถามว่าได้ใบคุณวุฒิอะไรมาบ้าง - อาชีพนี้ก็เหมือนกัน) เกรดก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับจำนวนขั้นที่สอบผ่านมา

 

2. อาชีพนี้ไม่จำเป็นต้องเรียนปริญญามาโดยตรง เพราะไม่มีที่ไหนในไทยที่สอนตรง เพียงแต่ต้องสอบคุณวุฒิให้ผ่าน ซึ่่งควรจะได้ 3 - 5 ตัวในช่วงก่อนจะจบมหาลัย (ทั้งหมดมี 10 ตัว)

 

3. บริษัทประกันส่วนใหญ่จะให้ เงินเดือนขึ้นเวลาสอบผ่าน FM และ P เป็นจำนวน X,XXX บาท/เดือน ซึ่งบางที่ก็เรียกว่าค่าวิชาชีพ  เหมือนหมอที่มีวุฒิเพิ่มขึ้นก็ได้ค่าตัวสูงขึ้น 

 

4. การสอบมีเป็น 3 ช่วง 5 ตัวแรกเปรียบได้กับหมอทั่วไป พอครบ 7 ตัวเรียกว่าแอสโซซิเอต (ซึ่งหมอเวลาสอบวุฒิผ่านก็เรียกแบบนี้เหมือนกัน) ก็เปรียบได้กับหมอผ่าตัด และถ้าสอบครบ 10 ตัวก็เรียกว่าเฟลโล่ (เปรียบเหมือนหมอผ่าตัดเฉพาะทาง เช่น หัวใจ หรือสมอง)

 

5. การสอบนั้นเป็นการอ่านเองแล้วไปสอบ (เหมือนเรียนราม) ซึ่งถ้าคนหัวดี ก็ผ่านโดยอ่านเองได้ แต่สอบนั้นมี 10 ขั้น เหมือนวิ่งขึ้นตึก 10 ชั้น จะวิ่งเองหมดเดี๋ยวจะหมดแรง ทางหลักสูตรก็เหมือนเป็นบันไดเลื่อน 2 ชั้นแรก เพื่อให้พื้นฐานแน่น และให้วิ่งต่อกันเองได้ เพราะถ้าอ่านเอง 2 ขั้นแรก แล้วเข้าใจผิดๆ เวลาสอบขั้นสูงๆ ไปก็จะมีโอกาสผ่านได้ยาก ดังนั้นควรมาเรียนเพื่อปูพื้นฐานให้แน่นสำหรับสอบตัวที่ 3 - 5 ได้ในอนาคต

 

6. การสอบแต่ละครั้งเป็นการแข่งขันกันทั่วโลก คุณวุฒิที่ได้ก็ใช้ได้ทั่วโลก เขียนใน resume ไว้สมัครงานได้ และอยู่ติดตัวเราไปตลอดชีวิต มีแต่คนแย่งตัว

 

7. ราคาถูกกว่าพวกหลักสูตร finance อื่นๆ ที่มีในตลาด ข้างนอกราคาจะประมาณ 3หมื่นถึง 4 หมื่นกว่าบาท แต่แอคชัวรีที่เรียนนี้สอบยากกว่า ยังราคาแค่นี้เอง เพราะไม่ได้มีกำไรเหมือนข้างนอก แถมสอบผ่านเงินเดือนตั้งต้นก็สูงด้วย เช่น สอบผ่านเร็วขึ้น 1 ปี ก็เท่ากับ 4000 x 12 = 48000 บาทไปแล้ว และโบนัสกับโอกาสได้เลื่อนขั้นก็เร็วขึ้นด้วย

 

8. เรียนปริญญาโทนั้น ทำให้เสียเวลาทำงานเก็บประสบการณ์ เพราะอาชีพนี้ต้องมีทั้งวุฒิและประสบการณ์ ปริญญากับเกรดนั้นเป็นเรื่องรอง

 

9. ถ้าไปเรียนเมืองนอกจะเสียประมาณ 1.5 - 2 ล้านบาท ซึ่งอังกฤษจะอนุญาตให้ยกเว้นการสอบ 5 ตัวแรก ได้ถ้าสอบได้ประมาณ B+ ทุกวิชา ซึ่งส่วนใหญ่คนเสียเงินไปเรียนตั้งแพง อาจจะได้ยกเว้นกลับมาแค่ 2 - 3 ตัวแรกเท่านั้น 

 

10. สอบได้ 3 - 5 ขั้น แล้วสอบต่อได้ไม่หมด ก็สามารถทำงานอย่างอื่น เช่นย้ายไปแผนกการตลาด แผนกบัญชี แผนกลงทุน แผนกจัดการความเสี่ยง เป็นต้น โดยในบริษัทประกันก็จะให้ค่าวิชาชีพที่เป็นเงินเดือนขึ้นตามแต่ละขั้นอยู่

 

11.P หรือ FM แต่ละตัวนั้น จะเอาวิชาในปริญญาตรีมาประมาณ 3 - 4 วิชามารวมกัน เทียบเท่าประมาณ 9 หน่วยกิตในมหาวิทยาลัย ซึ่งเนื้อหาค่อนข้างมาก และยากเหมือนกัน ทางหลักสูตรจึงคัดคนสอนที่สอบผ่านและสอนเก่งมาให้ (ซึ่งก็หายากเหมือนกัน)

 

12. เรียนแบบบุปเฟ่ต์ เรียนซ้ำได้ไม่จำกัด มีการสอบ Mock Exam (จำลองข้อสอบและมานั่งสอบ พร้อมเฉลยในวันนั้น) 2 ครั้งต่อเทอม (เทอมนึงเรียนประมาณ 14 ครั้ง) แถมทุกๆ 2 เดือนจะมีการติวกลุ่มย่อยตัวต่อตัวก่อนสอบ เพื่อเก็งข้อสอบกัน ไลน์คุยกันกับอาจารย์ได้ตลอดเวลา แบบว่าเรียนกันจนกว่าจะผ่าน

 

13. ค่าเรียนถูกกว่าซื้อไอโฟนเครื่องนึง ยอมทนหน่อย แล้วพอทำงานแค่ไม่กี่เดือนก็ได้ส่วนนี้คืนมา คือถ้าอยู่ในอาชีพนี้ 5 ปี ก็ได้มูลค่า 60 เดือน x 4000 บาท เท่ากับ 240,000 บาทไปแล้ว ขนาดจะเป็นแอร์ ยังต้องไปเรียนเพื่อสอบแอร์ ค่าเรียนยัง 3 หมื่นเลย

 

14. เรียนเตรียมสอบเข้า ป.1 ยังแพงกว่านี้เลย อันนี้เรียนเพื่อสอบเป็นแอคชัวรีเชียวนะ แถมได้การันตีเงินเดือนเป็นค่าวิชาชีพอีก เรียกว่าเรียนโค้งสุดท้ายแต่คุ้ม อยากให้เห็นว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูง

 

go to top